เวียดนาม เจอ ผู้ป่วยโควิด ครั้งแรกใน 55 วัน

เวียดนาม เจอ ผู้ป่วยโควิด ครั้งแรกใน 55 วัน

เวียดนาม เปิดเผยว่าเจอ ผู้ป่วยโควิด 83 ราย ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 55 วัน และยังเป็นจำนวนผู้ป่วยใหม่ต่อวันที่สูงสุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดด้วย เมื่อวันที่ 28 มกราคม สำนักข่าวชาแนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า ทางการเวียดนามเจอผู้ป่วยโควิดรายใหม่ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จำนวน 83 ราย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 55 วันที่ประเทศเวียดนามเจอผู้ป่วยใหม่ และเป็นจำนวนผู้ป่วยใหม่ต่อวันที่สูงที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาด

โดยกระทรวงสาธารณะสุขเวียดนามระบุว่าในจำนวนผู้ป่วยใหม่ 

มีผู้ป่วย 1 รายที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ถูกตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคโควิดกลาพพันธ์ุเชื้อสายอังกฤษในประเทศญี่ปุ่น จากการค้นพบครั้งนี้ได้สร้างความกังวลให้กับเวียดนามเป็นอย่างมาก ซึ่งทางการเวียดนามกล่าวว่าการค้นพบครั้งนี้ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของคลื่นการแพร่ระบาดลูกใหม่ที่ร้ายแรงกว่ารอบที่แล้ว

ซึ่งทางการได้สั่งให้มีการตรวจหาเชื้อประชาชนเป็นจำนวนมาก เพื่อเร่งสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีผู้ใกล้ชิด 72 ราย จาก 138 รายมีผลตรวจเป็นบวก ขณะนี้ประเทศเวียดนามมียอดผู้ป่วยสะสมราวๆ 1,500 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสแล้ว 35 ศพ

โดยความเสี่ยงนั้นแน่นอนที่ว่า การกระทำในลักษณะนี้นั้นต้องหวังพึ่งในราคาของหุ้นเป็นอย่างมาก หากราคาของมันสูงขึ้นกว่าตอนที่เทขายไปนั้น ก็จะทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนอย่างย่อยยับ

แต่ปัญหาก็ได้มาเมื่อ หุ้นของ GameStop นั้นได้เริ่มตีกลับมาดีขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากการเปลี่ยนแปลงของบริษัท ทั้งการเป็นพัฒนามิตรกับทาง Xbox ในสัญญาหลายปี และยอดการขายที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนทำให้มีการกระเตื้องขึ้นของราคา

ทำให้เริ่มมีการดำเนินการตามที่ได้กล่าวไป และข่าวของการกระทำนี้ก็ไปถึงเว็บบอร์ดออนไลน์ Reddit ที่บรรดาผู้ใช้งานนั้นตัดสินใจที่จะ “แกล้ง” บริษัทลงทุนที่ทำอย่างนี้ และต้องการจะทำกำไรจาก หุ้น ด้วย โดยการกระทำดังกล่าวก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับทาง GameStop ทั้งทางตรงและทางอ้อมแต่อย่างใด

ส่งผลให้ในเวลานี้ GameStop ถือว่าเป็นบริษัทที่มีการซื้อขายหลักทรัพย์มากทีุ่ดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยมูลค่านั้นได้ดีดตัวสูงขึ้นจากตอนแรกที่จะอยู่ประมาณ 200+ ดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งก็ได้มาถึง 347.51 ดอลลาร์ (10,425.30 บาท) เป็นที่เรียบร้อย

และชนวนสำคัญที่ทำให้ทั้งคู่เลือกเส้นการจบชีวิตรักนั้น เป็นเพราะว่าทางฝ่ายชายได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะหย่ากับภรรยาแล้วแต่งงานกับฝ่ายหญิง แต่ฝ่ายชายก็ไม่อาจทำตามคำสัญญาได้สักที ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะกระโดดน้ำตายไปด้วยกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วแม้คดีจะพลิก มีการแจ้งตำรวจดำเนินคดี แต่ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ยังคงทำการสอบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่ และยังไม่ได้ข้อสรุปใด ๆ เกี่ยวกับคดีนี้

แต่อย่างไรก็ตาม การยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 11 ยังคงเปิดโอกาสให้ทางแบรนด์สามารถทำธุรกิจต่อไปได้ เพียงแต่ต้องกำหนดเส้นทางอนาคตของบริษัทในการใช้หนี้ให้ชัดเจน โดยการตัดสินใจในครั้งนี้ทางบริษัท Revlon คาดว่าจะทำให้บริษัทได้รับเงินกู้ประมาณ 575 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะลูกหนี้ขณะดำเนินการขอพิทักษ์ทรัพย์ (Debtor-in-Possession Financing: DIP) โดยจำนวนดังกล่าวจะนำมาใช้สำหรับหมุนเวียนในกิจการแต่ละวันต่อไป

ฟันเละ! ไต้หวัน ปรับเงิน ปชช. ละเมิดคำสั่งกักตัว 7 ครั้งใน 3 วัน

ทางการ ไต้หวัน สั่งปรับเงินประชาชนเป็นเงินกว่าล้านบาท หลังประชาชนคนดังกล่าว ละเมิดคำสั่งกักตัว 7 ครั้ง ภายใน 3 วัน เมื่อวันที่ 28 มกราคม สำนักข่าว CNN รายงานว่าทางการไต้หวันได้ปรับเงินชายคนหนึ่งที่อาศัยในเขตไทจงเป็นมูลค่าหนึ่งล้านไต้หวันดอลลาร์ หรือราวๆ เป็นมูลค่ากว่าหนึ่งล้านบาท หลังจากที่ชายคนดังกว่าละเมิดคำสั่งกักตัว 7 ครั้งใน 3 วัน

โดยสำนักข่าว ITV ระบุว่าชายคนดังกล่าวเพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศจีน และได้ออกนอกเคหสถานมากถึง 7 ครั้งในระยะเวลาเพียง 3 วัน ซึ่งชายคนดังกล่าวได้ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านเช่น ซื้อของ, นำรถไปซ่อม เป็นต้น พร้อมทั้งมีรายงานว่าเพื่อนบ้านกับผู้ก่อเหตุได้เผชิญหน้ากัน หลังเพื่อนบ้านตั้งคำถามถึงการกักตัวของชายคนดังกล่าว

ด้านทางการเขตไทจงได้ยืนยันเช่นเดียวกันว่าชายคนดังกล่าวเดินทางกลับมาจากประเทศจีนจริง และตามข้องบังคับของไต้หวันแล้ว เขาต้องกักตัวเป็นระยะเวลา 14 วัน ซึ่งทางการยังได้กล่าวประณามพฤติกรรมและประกาศว่าชายคนดังกล่าวจะได้รับโทษอย่างรุนแรง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไต้หวันปรับเงินผู้ที่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งกักตัว เพราะก่อนหน้านี้ทางการได้ปรับเงินแรงงานชาวฟิลิปปินส์ที่ออกนอกห้องกักตัว เป็นระยะเวลา 8 นาที ไต้หวันถือเป็นหนึ่งพื้นที่ที่มีมาตรการป้องกันโควิดที่เข้มงวดที่สุดในโลก ซึ่งจากมาตรการเข้มงวด ทำให้ทางการพบผู้ป่วยเกือบ 900 ราย และมีผู้เสียชีวิตเพียง 7 ศพเท่านั้น

ทั้งนี้แบรนด์เครื่องสำอาง Revlon ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1932 จากการจำหน่ายน้ำยาทาเล็บ ก่อนที่จะได้ทำการขยายธุรกิจออกไปในช่วงปี ค.ศ. 1955 หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1985 MacAndrews & Forbes ก็ได้ทำการเข้าซื้อกิจการของ Revlon และในช่วงหลังมานี้บริษัทก็ได้ใช้เงินทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการของ Elizabeth Arden ในปี ค.ศ. 2016 รวมถึงยังเป็นเจ้าของแบรนด์ต่าง ๆ ในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก

Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป